นบ.ยส.35 ประชุมขับเคลื่อนนโยบาย “Seal Stop Safe” เดินหน้าเสริมแนวป้องกันชายแดนภาคเหนือ ณ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
เมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา ที่โรงแรมเดอะวิว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ พล.ท.กิตติพงษ์ ชื่นใจชน ผบ.นบ.ยส.35 เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานของ นบ.ยส.35 ตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลภายใต้แผนปฏิบัติการ “Seal Stop Safe” ซึ่งมุ่งยกระดับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมทุกมิติ ซึ่งเชียงดาวเป็นหนึ่งในพื้นที่ชายแดนที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของภาคเหนือ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดกรอบการทำงานร่วมกันของ
ทุกภาคส่วนในพื้นที่รับผิดชอบของ นบ.ยส.35
ในส่วนของ จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ปฏิบัติการของ นบ.ยส.35 ครอบคลุมพื้นที่สำคัญอย่างอำเภอฝาง แม่อาย เชียงดาว ไชยปราการและเวียงแหง ซึ่งเป็นพื้นที่ภูเขาสลับซับซ้อนตลอดแนวติดกับชายแดนประเทศเมียนมา มีช่องทางธรรมชาติจำนวนมากที่กลุ่มขบวนการยาเสพติดใช้ในการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศไทย ทั้งนี้การลาดตระเวน ตรวจตราและเสริมกำลังเจ้าหน้าที่จึงเป็นภารกิจสำคัญที่จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
สำหรับจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งมีภูมิประเทศทุรกันดารและยากต่อการเข้าถึง โดยเฉพาะใน อำเภอ
ปางมะผ้าและอำเภอปาย ซึ่งเป็นจุดเสี่ยงของการเคลื่อนไหวของขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากแนวชายแดนเช่นกัน นบ.ยส.35 ได้เน้นการบูรณาการร่วมกับหน่วยเฉพาะกิจทหาร ตำรวจตระเวนชายแดนและหน่วยงานท้องถิ่นในการติดตามข่าวสาร การตั้งจุดตรวจจุดสกัดและการสร้างเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อแจ้งเบาะแสอย่างทันท่วงที
ภายใต้แนวคิด “Seal – Stop – Safe” การดำเนินงานของ นบ.ยส.35 จะเน้นหนักในสามด้านหลัก ได้แก่ การ “Seal” หรือปิดล้อมแนวชายแดนไม่ให้ยาเสพติดเล็ดลอดเข้าสู่ประเทศ, การ “Stop” หรือการหยุดยั้ง และสลายโครงสร้างเครือข่าย นักค้า รวมถึงการขยายผลยึดทรัพย์ กลุ่มขบวนการยาเสพติด และการ “Safe” หรือสร้างความปลอดภัยและภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนในพื้นที่
ผบ.นบ.ยส.35 ได้เน้นย้ำในที่ประชุมว่า การป้องกันยาเสพติดเป็นภารกิจระดับชาติที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. รวมถึงผู้นำชุมชน และอาสาสมัครในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความเข้าใจและความเข้มแข็งในระดับพื้นที่ จะเป็นหัวใจสำคัญในการปิดประตูไม่ให้ยาเสพติดไหลเข้าสู่ประเทศ การประชุมในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการเดินหน้าแผนปฏิบัติการ “Seal Stop Safe” อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดนอยู่รอด ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมกับการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับประเทศในระยะยาว.