แพทย์ มช.แถลงผลสำเร็จผ่าตัดปลูกถ่ายตับคู่แฝดวัย 20 รายแรกของไทย

คณะแพทยศาสตร์ มช.แถลงผลสำเร็จในการผ่าตัดปลูกถ่ายตับระหว่างคู่ฝาแฝดชาย อายุ 20 ปี คู่แรกของประเทศไทยถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในวงการแพทย์ไทย

เชียงใหม่ 19 พ.ย.- ที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จัดแถลงข่าวผลสำเร็จในการผ่าตัดปลูกถ่ายตับระหว่างคู่แฝดชายอายุ 20 ปีคู่แรกของประเทศไทย โดยมี รศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต คณบดีคณะแพทยศาสตร์ พร้อมคณะร่วมกันแถลงผลสำเร็จครั้งนี้ สำหรับผู้ป่วยรายนี้คือ แฝดพี่ นายศุภวิชญ ซองเงิน อายุ 20 ปี ซึ่งป่วยด้วยโรคท่อน้ำดีตีบตันตั้งแต่กำเนิด (Biliary atresia) เคยเข้ารับการผ่าตัดเปิดทางระบายของน้ำดีเข้าสู่ลำไส้เล็กส่วนต้น (Kasai procedure) ตั้งแต่ปี 2548 แม้การผ่าตัดช่วยยืดอายุการทำงานของตับ แต่ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาเกิดภาวะแทรกซ้อนและตับเสื่อมลงเรื่อย ๆ จนต้องเข้ารับการรักษาซ้ำหลายครั้ง เสี่ยงต่อภาวะตับวาย จึงเป็นข้อบ่งชี้ให้ต้องทำการปลูกถ่ายตับ

ในการรักษาครั้งนี้ แฝดผู้น้อง นายศุภพิชญ ซองเงิน อายุ 20 ปี ได้อุทิศตนเป็นผู้บริจาคตับ โดยมอบตับจำนวนร้อยละ 65 ของปริมาตรตับทั้งหมดให้กับพี่ชาย นอกจากจะเป็นการผ่าตัดปลูกถ่ายตับในผู้บริจาคมีชีวิต (Living donor) แล้ว ในครั้งนี้นับเป็นกรณีพิเศษเพราะทั้งคู่เป็น ฝาแฝดเหมือน (Identical twin) จึงมีพันธุกรรมเหมือนกันทุกประการ ส่งผลให้การเข้ากันได้ของอวัยวะ (Histocompatibility) สูงมาก ความเสี่ยงของการปฏิเสธอวัยวะต่ำกว่าปกติ และไม่จำเป็นต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressive drugs) ในระยะยาว ซึ่งแตกต่างจากการปลูกถ่ายตับทั่วไปที่ผู้ป่วยต้องใช้ยาตลอดชีวิต ซึ่งทั้งสองและครอบครัวต่างขอบคุณทีมแพทย์ฯ ของคณะแพทย์ฯ มช.ที่ให้ชีวิตใหม่จากความสำเร็จในการผ่าตัดปลูกถ่ายตับครั้งสำคัญนี้

รศ.นพ.สัณหวิชญ์ จันทร์รังสี อาจารย์ประจำหน่วยศัลยศาสตร์ระบบตับ ทางเดินน้ำดี และตับอ่อน ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แพทย์ผู้ทำการผ่าตัด กล่าวว่า การผ่าตัดปลูกถ่ายตับในครั้งนี้มีความท้าทายสูง ทั้งด้านเทคนิคการผ่าตัด การประเมินผู้บริจาคและผู้รับ รวมถึงการวางแผนดูแลหลังการผ่าตัด โดยทั่วไปแล้วการผ่าตัดปลูกถ่ายตับที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจะเป็นการปลูกถ่ายตับจากผู้บริจาคสมองตาย แต่ทั้งนี้ ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านการปลูกถ่ายอวัยวะ (Organ Transplant Center) คณะแพทยศาสตร์ มช. เป็นแห่งเดียวในประเทศไทยที่ทำการผ่าตัดปลูกถ่ายตับจากผู้บริจาคที่มีชีวิตในผู้ใหญ่ ทีมรักษาจึงต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและเฝ้ารอช่วงเวลาที่เหมาะสมที่แฝดคู่นี้มีความพร้อมที่จะเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ ปริมาตรของตับที่จะให้ได้โดยต้องปลอดภัยกับผู้ให้ รวมถึงป้องกันความเสี่ยง ภาวะแทรกซ้อนต่างๆที่มีโอกาสเกิดขึ้นและเนื่องด้วยความพิเศษของการเป็นฝาแฝดเหมือน ทำให้โอกาสการปฏิเสธอวัยวะต่ำกว่ากรณีทั่วไปมาก ซึ่งสิ่งที่ทีมแพทย์จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไปคือ การทำงานของตับใหม่ในระยะยาวและการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน

ความสำเร็จครั้งนี้เป็นความภาคภูมิใจของทีมศัลยแพทย์ วิสัญญีแพทย์ พยาบาลและบุคลากรทุกฝ่าย นอกจากจะได้ช่วยชีวิตผู้ป่วยแล้ว ยังเป็นการผ่าตัดปลูกถ่ายตับจากฝาแฝดเหมือนครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งสะท้อนศักยภาพของทีมแพทย์ไทยในการทำการผ่าตัดที่มีความซับซ้อนสูงในระดับสากลและมีส่วนสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการรักษาของประเทศ

รศ.นพ.วรกิตติ ลาภพิเศษพันธุ์ รองผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์และอาจารย์ประจำหน่วยศัลยศาสตร์ระบบตับ ทางเดินน้ำดีและตับอ่อน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวเสริมว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านการปลูกถ่ายอวัยวะ (Organ Transplant Center) คณะแพทยศาสตร์ มช. ได้ทำการผ่าตัดปลูกถ่ายตับไปแล้ว 62 คู่ โดยผลลัพธ์ในผู้รับการปลูกถ่าย (Recipient outcomes) ในช่วงปี 2566–2568 มีผลลัพธ์ที่โดดเด่น ได้แก่ อัตราการรอดชีวิตที่ 1 ปี คิดเป็นร้อยละ 95 เทียบเท่าฐานข้อมูลจากสหรัฐอเมริกาและเกาหลี อัตราการเกิดภาวะท่อน้ำดีตีบหรือรั่วเพียงร้อยละ 11 และไม่พบภาวะหลอดเลือดแดงอุดตันในการปลูกถ่ายทั้งหมด

ขณะที่ผลลัพธ์ในผู้บริจาค (Donor outcomes) พบว่า การผ่าตัดส่องกล้องในผู้บริจาคสำเร็จทั้งหมด ไม่พบการเกิดภาวะตับวายในผู้บริจาคและมีระยะเวลาเฉลี่ยการพักรักษาตัว ในโรงพยาบาลเท่ากับ 6 วัน

รศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. กล่าวว่า ผลลัพธ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานการรักษาที่ทัดเทียมกับนานาชาติและยืนยันถึงความเชี่ยวชาญ และศักยภาพของทีมแพทย์ศัลยกรรมตับ ตับอ่อนและทางเดินน้ำดีของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ การผ่าตัดปลูกถ่ายตับระหว่างคู่ฝาแฝดเหมือนครั้งนี้ จึงไม่เพียงเป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่สำคัญ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการพัฒนาศักยภาพของทีมแพทย์ไทยในระดับโลก คณะแพทยศาสตร์ มช. ยังคงมุ่ง มั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็น “โรงเรียนแพทย์ในดวงใจ เพื่อความยั่งยืนด้านสุขภาวะ ด้วยนวัตกรรม” และเป็นกำลังสำคัญในการ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยอย่างยั่งยืน.