ผู้ว่าฯเชียงใหม่ ร่วมสานพลังทุกภาคส่วน สู้ภัยฝุ่นควัน PM 2.5 อย่างจริงจังขณะที่หน่วยงานเกี่ยวข้องระดมวางแผนแต่เนิ่น ประกาศเป็นวาระจังหวัด
เชียงใหม่ 22 ต.ค.- นายทศพล เผื่อนอุดม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เปิดเผยว่า โอกาสที่ไปเป็นประธานเปิดเวทีสานพลังเครือข่ายกลไกหุ้นส่วนทางสังคม เพื่อบริหารจัดการปัญหาฝุ่น PM 2.5 จากหมอกควันไฟป่าเห็นว่า การแก้ปัญหา PM 2.5 ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็น “ภารกิจร่วมกัน” ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมแรง ร่วมใจ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ที่เผชิญวิกฤตหมอกควันเป็นประจำทุกปี ในครั้งนี้ขอชื่นชมและขอบคุณ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาเชียงราย ที่ร่วมกันขับเคลื่อนงานวิจัยและสร้างเครือข่ายท้องถิ่นใน 11 หมู่บ้าน 10 ตำบล 10 อำเภอ เพื่อเสริมพลังกลไกชุมชนให้สามารถป้องกันและรับมือกับปัญหาฝุ่นควันได้อย่างเป็นรูปธรรม เราไม่ใช่แค่ “พูด” แต่เรา “ลงมือทำจริง”ด้วย 3 มาตรการสำคัญที่เชียงใหม่ยึดถือ
- มุ่งเน้นค้นหาสาเหตุและลดมลพิษจากต้นทางหรือแหล่งกำเนิด ใน 3 พื้นที่เป้าหมาย ทั้งพื้นที่ป่า ไฟหรือ จุด Hot spots มากที่สุด ต้องลดหรือหยุดไฟในพื้นที่นี้ให้ได้อย่างยั่งยืน พื้นที่เกษตร เน้นกลุ่มพืชเชิงเดี่ยว ต้องไม่เผาไฟ ทั้งการเผาเศษวัสดุเหลือใช้และช่วงเตรียมแปลงก่อนฤดูการปลูก เน้น ข้าว แสนไร่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 2.4 แสนไร่ ในเขตเมือง สาเหตุหลักมาจาก การเผาไหม้จากยานพาหนะ การใช้พลังงานในอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม กิจการก่อสร้าง การจัดการขยะของเสีย ฯลฯ ต้องจัดการลดสาเหตุแห่งปัญหาลงให้ได้มากที่สุด
- มาตรการดูแลสุขภาพประชาชน เป็นมาตรการที่สำคัญมาก ๆ และต้องลงทุนไม่น้อยกว่า มาตรการที่ 1 ทั้งนี้เพราะ จากงานวิจัย ของ มช.ที่ยืนยันว่า ฝุ่นควันข้ามแดนจากประเทศเพื่อนบ้านและจังหวัดข้างเคียง ยังเป็นสาเหตุหลักของปัญหาฝุ่นควันในเขตตัวเมืองเชียงใหม่ หรือ กว่า 40 % เป็นฝุ่นควันข้ามแดนเข้ามา ทั้งนี้เพราะบริบทพื้นที่เขตเมืองเชียงใหม่เป็นแอ่งกระทะ ดังนั้น มาตรการ ลดผลกระทบด้านสุขภาพจึงเป็นมาตรการที่สำคัญ โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเปราะบางและผู้ด้อยโอกาส จะต้องมีระบบฐานข้อมูลข้อมูลประชาชนที่ต้องดูแลเป็นพิเศษให้ครบถ้วนสมบูรณ์ มีระบบเฝ้าระวังตรวจวัดคุณภาพอากาศที่แม่นยำมีประสิทธิภาพ มีการแจ้งเตือน ที่รวดเร็ว ชัดเจน โปร่งใส เพื่อให้ประชาชน รับรู้ และป้องกันตัวและต้องพัฒนานวัตกรรมในการป้องกันตัวหรือลดผลกระทบจากฝุ่นที่จะเข้ามาทำร้ายสุขภาพเราให้มากที่สุด เช่น อุปกรณ์ป้องกันตัวจากฝุ่นขนาดจิ๋ว พื้นที่ปลอดภัย Safe zone “ห้องลดฝุ่น” ระบบขนส่งสาธารณะและยานพาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาคารและโรงงาน สถานประกอบการ ประหยัดพลังงาน หรือ สถานประกอบการสีเขียว ฯลฯ
3.มาตรการพัฒนาระบบการบริหารจัดการ กับปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 แบบองค์รวมและคิดเชิงระบบ เน้นกระบวนการมีส่วนรวม ภาครัฐแบบเปิด ทำงานด้วยระบบข้อมูล หลอมรวมประสบการณ์ งานวิจัย เทคโนโลยี นวตกรรมและให้ความสำคัญกับการป้องกันปัญหาและเน้นวิธีการแก้ปัญหาแบบยั่งยืนมากกว่าการเน้นการเผชิญเหตุ วิ่งไล่ดับไฟแบบในอดีต ตามสูตร 8 -3 – 1 คือ 8 เดือน เน้นเตรียมความพร้อมหาวิธีป้องกันลดปัจจัยเสี่ยง 3 เดือน เป็นช่วงเผชิญเหตุ ค้นหาไฟให้เร็ว เจอแล้วต้องดับให้เร็ว บูรณาการทุกภาคส่วน ตั้งวอร์รูม ใช้ระบบการตัดสินใจแบบ Single Command ติดตามสถานการณ์แบบรู้เร็ว ดับไว ด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี และ 1 เดือน หลังจากฝุ่นควันจางลง เพราะก้าวเข้าสู่ฤดูฝน ต้องถอดบทเรียน ประเมินผลสำเร็จ หรือจุดบกพร่อง เพื่อจะได้นำมาพัฒนาแก้ไขให้ดียิ่งๆ ขึ้นในปีต่อไป วงจร 8-3-1 นี้ เป็นเหมือน SOP มาตฐานวงจรการบริหารจัดการ ฝุ่นควันไฟป่า PM 2.5 ของจังหวัดเชียงใหม่ ผลลัพธ์ปี 67 และ ปี 68 จังหวัดเชียงใหม่มีผลการทำงานที่ดีขึ้นเริ่มเดินมาถูกทางจะเห็นได้จาก เกณฑ์ตัวชี้วัดผลฤทธิ์ 4 ด้าน ดังนี้
- Hotspots จุดความร้อนจากเดิมเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง จะมีกว่าหมื่นจุดความร้อน ผลงานปี 68 ลดลงเหลือ 4,709 จุด หรือลดลงร้อยละ 60
- พื้นที่เผาไหม้ Burn Scares จากเดิมเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง จะมีประมาณ 1 ล้านไร่ ผลงานปี 68 ลดลงเหลือ 704,563 ไร่ หรือลดลงร้อยละ 27
- จำนวนวันที่คุณภาพอากาศเกินเกณฑ์มาตรฐาน ลดลงจากเดิมเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง คุณภาพอากาศจะเกินเกณฑ์มาตรฐานอยู่ 94 วัน ผลงานปี 68 ลดลงเหลือ 60 วัน หรือลดลงร้อยละ 36
- จำนวนผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ COPD ที่เข้าพบแพทย์ต่อครั้ง จากเดิมเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง 20,116 ครั่ง ผลงานปี 68 ลดลงเหลือ 9,235 ครั้ง หรือลดลงร้อยละ 54.09 แม้จะยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่เป็น “ก้าวที่สำคัญ” ที่จะไม่เกิดขึ้นเลยหากขาดพลังความร่วมมือกัน ของเครือข่ายราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยป่าไม้ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและที่สำคัญที่สุดคือประชาชนชาวเชียงใหม่ทุกคน ยืนยันว่า ปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 คือวาระเร่งด่วนของเชียงใหม่
วันเดียวกันที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นายศิวกร บัวป้อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานการประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมการแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยมี นายสมคิด ปัญญาดี ผู้อำนวยการ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่(ทสจ.เชียงใหม่)และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นทุกปีในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคมซึ่งมีสาเหตุหลักเกิดจากการเผาในที่โล่ง การเผาเพื่อเตรียมพื้นที่ทำการเกษตรและการเผาในพื้นที่เขตป่าผลัดใบ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดสภาพหมอกควันปกคลุมหนาแน่นเป็นบริเวณกว้างและนำมาซึ่งวิกฤตการณ์ด้านคุณภาพอากาศในห้วงเวลาดังกล่าว ทำให้ค่าเฉลี่ยของฝุ่นละอองในอากาศสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน อยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน สภาพแวดล้อมและเศรษฐกิจในภาพรวมของจังหวัดเชียงใหม่ จึงได้จัดประชุมหารือเพื่อเตรียมความพร้อมและให้การแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ของจังหวัดเชียงใหม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพลดผลกระทบต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด.






