ผู้ว่าฯ เชียงใหม่–มช. ผนึกกำลังขับเคลื่อน “ยุทธศาสตร์ 5 ปี ลดไฟป่า-หมอกควันอย่างยั่งยืน” ตั้งเป้าสร้างป่าชุมชน คาร์บอนเครดิต และระบบคนอยู่กับป่าอย่างสมดุลรองรับเขตควบคุมมลพิษ
เชียงใหม่ 11 พ.ย.- ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายทศพล เผื่อนอุดม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานการประชุม เพื่อรับฟังความคิดเห็น (ร่าง) แผนปฏิบัติการ เพื่อลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษ โดยเปิดเผยว่า แผนยุทธศาสตร์ 5 ปี พ.ศ. 2569–2573 ในการจัดการปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ถือเป็นกรอบสำคัญในการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดเพื่อให้จังหวัดเชียงใหม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน โดยมีแนวทางหลักคือการ “ลดไฟจากแหล่งกำเนิด (Point Source)” ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมลพิษทางอากาศในพื้นที่ โดยจังหวัดเชียงใหม่ได้ร่วมกับสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการบริหารจัดการพื้นที่ ลดจุดความร้อน (Hotspot) และลดมลพิษจากแหล่งกำเนิดให้ได้ผลอย่างเป็นรูปธรรม เราจะไม่รอให้ถึงฤดูไฟแล้วค่อยดับ แต่ต้องทำงานเชิงรุกตลอดทั้งปี โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมล่วงหน้า 8 เดือนก่อนเข้าสู่ฤดูไฟ เพื่อให้การบริหารสถานการณ์เป็นระบบและยั่งยืนมากขึ้น
นายทศพลกล่าวว่า หนึ่งในแนวทางสำคัญคือการจัดระบบ “คนอยู่กับป่า” ให้มีข้อมูลชัดเจนตามกฎหมาย พร้อมผลักดัน “ป่าชุมชน” ให้กลายเป็นกลไกหลักในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ โดยขณะนี้เชียงใหม่มีป่าชุมชนกว่า 600 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 800,000 ไร่ และจะพัฒนาเข้าสู่ระบบ คาร์บอนเครดิต เพื่อสร้างรายได้และแรงจูงใจให้กับชุมชนในการอนุรักษ์ป่า ขณะเดียวกัน แผนยุทธศาสตร์นี้ยังสอดคล้องกับแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงเน้นให้เปลี่ยนโครงสร้างการผลิตในพื้นที่ป่าต้นน้ำให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม เช่น การส่งเสริมพืชเมืองหนาวและเกษตรยั่งยืนทดแทนการเผา
สาระสำคัญของร่างแผนฯ ประกอบด้วย การทบทวนสภาพปัญหาและสาเหตุแห่งปัญหา ยุทธศาสตร์การควบคุมและการจัดการคุณภาพอากาศ การลดการเผาในที่โล่ง การควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ PM 2.5 จากภาคป่าไม้ ภาคเกษตรกรรม การคมนาคม อุตสาหกรรมและพื้นที่เขตชุมชนเมือง ยุทธศาสตร์การลดผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชน และยุทธศาสตร์ การวางระบบการบริหารจัดการปัญหา มุ่งเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมในทุกภาคีเครือข่าย ทำงานเป็นทีม มีเป้าหมายร่วมกัน มียุทธศาสตร์ ตัวชี้วัด วางแผนงานโครงการ งบประมาณ ล่วงหน้ายาวไป 5 ปี เน้นการทำงานตามวงรอบปีแบบ 8-3-1 ให้ความสำคัญกับการทำงานช่วง 8 เดือน เพื่อวางระบบ โอ้เยอะมากเนาะ เชิงป้องกันและสร้างความยั่งยืน ในช่วงรับมือเผชิญเหตุ 3 เดือน ต้องมีความเป็นเอกภาพ รู้ให้ไว ดับให้เร็ว ใช้ระบบ Big Data เทคโนโลยี นวตกรรม ความรู้จากงานวิจัยที่ทำไว้ ประสบการณ์ มาหลอมรวมการทำเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
เชียงใหม่เผชิญกับปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง เป็นจุดเจ็บปวด pain point ของคนเชียงใหม่ การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี จึงเป็นสิ่งที่อยากเห็นและตนก็ผลักดันอยากให้เกิดขึ้นมาโดยตลอด เพราะเรามองปัญหานี้แบบปีต่อปีไม่ได้แล้ว ต้องมองยาว ๆ ไป โดยเฉพาะภาคราชการ เราคิดวันนี้ จัดทำแผนงานโครงการเสนอขึ้นไป กว่างบประมาณจะมา อีก 2 ปี ไม่ทันการณ์ จึงต้องมีชุดความคิด มีวิสัยทัศน์ มีแผนงานโครงการงบประมาณที่มาจากการตกผลึกทางความคิดของทุกภาคีเครือข่ายไว้ล่วงหน้า เพื่อให้การก้าวข้ามปัญหานี้ เป็นระบบและทรงพลังมากที่สุด
“วันนี้ ผมดีใจมากๆ ที่เห็นโครงการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี เพื่อเอาชนะปัญหาฝุ่น PM 2.5 เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง จึงนับเป็นก้าวเล็กๆ แต่เป็นก้าวที่สำคัญในการวางรากฐานการแก้ปัญหาเอาชนะปัญหานี้อย่างเป็นระบบ ไม่ว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดจะชื่อนายทศพล หรือเป็นท่านใดมาบริหารงานจังหวัด ก็จะมีแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ฉบับที่ได้ผ่านกระบวนการรับรอง ผ่านความเห็นชอบและหลอมรวมทุกแนวคิดจากทุกภาคีเครือข่ายมาเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ผู้ว่าฯหรือผู้บริหารงานในทุกภาคเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการจัดการปัญหา เป็นเสมือนคัมภีร์ หรือเป็นตำราพิชัยสงคราม ให้ท่านผู้บริหารจังหวัด สามารถใช้สู้ศึก วางกลยุทธ์ จัดวางทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เชียงใหม่ของเราก้าวข้มจุดเจ็บปวดนี้ และกลับมาเป็นเมืองที่มี อากาศสะอาด น่าอยู่ และยั่งยืนสืบต่อไป” นายทศพลกล่าวย้ำ
ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อรอร ภู่เจริญ ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า แผนยุทธศาสตร์ 5 ปีดังกล่าวได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยเป็นการบูรณาการข้อมูลจากทุกหน่วยงาน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม การเกษตร และสุขภาพประชาชน เรามุ่งให้เชียงใหม่เป็นต้นแบบเมืองบริหารจัดการไฟป่าและหมอกควันอย่างมีระบบ ด้วยแนวคิด ‘อยู่ร่วมกับป่าอย่างยั่งยืน’ โดยไม่ผลักคนออกจากพื้นที่ แต่จัดการอย่างมีข้อมูลและความเข้าใจร่วมกัน
นอกจากนี้ แผนยุทธศาสตร์นี้จะกำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณ เช่น การลดพื้นที่เกิดไฟซ้ำซาก การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การพัฒนาเครือข่ายอาสาสมัครชุมชน และการใช้เทคโนโลยีตรวจจับจุดความร้อนแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนได้ตลอดทั้งปี หากเชียงใหม่สามารถบริหารจัดการได้สำเร็จ จะเป็นโมเดลที่ขยายผลไปยังจังหวัดอื่นในภาคเหนือ ซึ่งมีบริบทใกล้เคียงกัน โดยร่างแผนฯ นี้มีกรอบ 6 ยุทธศาสตร์หลักเป็นแนวทางปฏิบัติ ซึ่งจะมีการสรุปเป็นทางการธันวาคมนี้ก่อนเสนอรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติต่อไป.






